2วัน1คืน โบกรถเที่ยวภูทับเบิก : Season change เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย

… ทริปนี้เริ่มต้นจากการนัดกันกลุ่มใหญ่จะไปเที่ยววันหยุด คุยกันไปคุยกันมาทริปดันล่ม!! หันมองหน้าคนข้างๆก็เลยคุยกันว่าจัดเลยมั้ยเรา สักที่ใกล้ๆ งบน้อยๆเนี่ย เลยได้ทริปด่วนทันใจ ก็คือ โบกรถขึ้นภูทับเบิกไปล่าหมอกกัน

… แต่ก็เกือบไม่ได้ไปเมื่อจองตั๋วรถทัวร์ขาไปผิดวัน พอรู้ตัวก็รีบโทรไปเปลี่ยนตั๋ว แต่ปลายสายแจ้งมาว่าวันนี้ระบบล่มค่ะพี่ รบกวนติดต่อหน้าเคาท์เตอร์เลยนะคะ โอ้มายก็อท!!! แต่สุดท้ายท้ายสุดก็สามารถเลื่อนตั๋วให้ถูกวันจนได้ ฟู่วว!! เกือบไปแล้วชีวิต

… เราเริ่มออกเดินทางกันวันศุกร์ เลิกงานปุ๊บก็เรียก Grab Car ไปส่งที่หมอชิตทันที ไปรับตั๋วที่เคาท์เตอร์ แล้วก็ไปกินข้าวนั่งเอื่อยเฉื่อยรอเวลารถออก เพราะเราจองรถของเพชรประเสริฐทัวร์ รอบ 23.30 น. ไว้ กะว่าไปถึงนู่นก็ให้เช้าพอดี วันนี้รถเลทนิดหน่อย คนเยอะทีเดียว

… ตัดภาพมาที่ตอนเช้า เราเลือกลงที่ บขส.หล่มสัก เพราะคิดว่าจะโบกรถเที่ยวทางเขาค้อก่อนขึ้นภูทับเบิก ลงรถมาแล้วมองๆดูเหมือนมีกลุ่มนักท่องเที่ยวอยู่ 2-3 กลุ่ม เราก็ไปจัดการล้างหน้าแปรงฟัน พออกจากห้องน้ำมากลุ่มนักท่องเที่ยวก็หายไปหมดแล้ว น้องที่ไปด้วยกันบอกว่า พอรถสายพิษณุโลก-หล่มสักมา คนก็ขึ้นกันไปหมดเลย

… ตอนแรกก็ไม่เอะใจอะไร รอจนฟ้าสว่างอีกนิดก็เลยลองไปถามลุงสามล้อดูว่าถ้าจะไปไปรษณีย์เขาค้อควรจะโบกรถจากฝั่งไหนดี ฟังจากที่ลุงตอบแล้วเหมือนแกไม่ค่อยเข้าใจคำว่าโบกรถ แกก็แนะนำว่ามีรถเหมาก็ 1,000 นึง ถ้าสามล้อลุงนี่ช้าหน่อย 400 บาท หรือถ้ารถทัวร์ก็สายพิษณุโลก-หล่มสัก แต่ไม่ถึงนะ ต้องหารถต่ออีก คราวนี้เลยถึงบางอ้อว่ากลุ่มนักท่องเที่ยวขึ้นรถไปไหนกัน แต่ทางเราไม่ได้มีข้อมูลตรงนี้กันมาเลย ก็เลยตัดสินใจเดินออกไปโบกรถตามที่แพลนมาตั้งแต่แรกเหมือนเดิม

… ตอนแรกเราโบกรถกันทางฝั่งบขส.แต่มองๆดูแล้วรถผ่านสี่แยกมาทางนี้น้อยมากแล้วขับกันเร็วมากๆ ยืนอยู่ได้ 5 นาที เลยตัดสินใจข้ามไปโบกอีกฟากนึง (จากรูปที่เราทำไว้คือจากโบกจุดที่1 เปลี่ยนไปโบกจุดที่2)

… การโบกรถครั้งแรกเวลามันช่างยาวนานเหลือเกิน แรกๆก็เลือกโบกแต่รถกระบะนะ 5 นาทีก็แล้ว 10 นาทีก็แล้ว ไม่มีวี่แววรถที่จะจอดรับเราเลย หลังๆมาก็โบกมันทุกคันที่ขับผ่าน บางคันก็ขับไม่เหลียวหลังเลย บางคันก็ชะลอมองแต่ไม่จอด โบกกันจนท้อใจ ณ จุดๆนั้น จนในที่สุดก็มีรถพี่ตำรวจท่านนึง จะไปราชการพอดีจอดถามแล้วอาสาจะพาไปส่งหน้าทางเข้าไปรษณีย์เขาค้อ เย้ๆๆๆๆ ดีใจ T.T

… ระหว่างทางก็พูดคุยถามทาง ถามสภาพอากาศกันไปเรื่อย พี่เค้าก็แนะนำให้ว่าจะต้องโบกรถตรงไหนต่อถ้าจะขึ้นภูทับเบิก คุยกันไปคุยกันมาพอดีทางที่ไปนี้จะผ่านวัดพระธาตุผาซ่อนแก้วก่อน ก็เลยตัดสินใจลงเที่ยวกันที่นี่ก่อน พี่เค้าพาไปส่งถึงหน้าวัดเลย (ขอบคุณหมวดโอบ สภ.บ้านติ้ว ด้วยนะคะ ^^)

… พอเดินเข้าไปในวัดแล้วเราชอบมาก ตัววัดเองก็วิจิตรงดงามมาก วิวทิวทัศน์รอบๆก็ดี ฟ้าครึ้มนิดหน่อยแต่อากาศเย็นสบาย ลมพัดมาทีสดชื่นนนน ^^

… ยืนรับลมกันอยู่ก็ได้ยินเสียงตัวอะไรสักอย่างร้องตลอดเวลา เพ่งมองดีๆเลยเจอเกาะอยู่ที่ต้นไม้ตัวนึง ธรรมชาติสุดๆ

… ข้ามมาอีกฝั่งนึง

… มองจากอีกฝั่งของวัดจะมองเห็นกังหันลมอยู่ไกลๆ

… แก้วเยอะสมกับชื่อวัด

… เดินเที่ยวชมจนพอใจก็เลยมาถามคุณลุงที่คอยโบกรถตรงลานจอดรถว่าถ้าจะไปไร่กังหันลมต้องโบกรถฝั่งไหน คุณลุงบอกว่ายากอยู่นะเพราะตอนนี้เช้ามากพวกรถนักท่องเที่ยวก็ยังมีมาไม่เยอะ เลยเปลี่ยนใจอีกครั้งว่าจะหารถออกไปถนนใหญ่ก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที ถามระยะการเดินคุณลุงบอกประมาณ 2 กิโล โอ้มายก็อท!!! หลังจากรู้ระยะทางก็เลยเนียนๆเดินตามหลังคุณลุงไป สุดท้ายคุณลุงก็ช่วยหารถออกมาถนนใหญ่ให้ ขอบคุณคุณลุงแล้วก็พี่เจ้าของรถที่ให้ติดรถออกมาด้วยนะคะ ^^

… แต่พอมาถึงถนนใหญ่แล้วรู้สึกคิดผิดเลย ถนนฝั่งที่จะไปไร่กังหันลมเป็นโค้งฝั่งติดเขา ไม่มีที่ที่พอจะไปยืนโบกรถได้เลย ยืนงงกันอยู่ไม่นานฝนก็เริ่มลงเม็ดเบาๆ เลยตัดสินใจว่าโบกรถขึ้นภูทับเบิกกันเลยดีกว่าถ้าโบกไปทางอื่นคงยากแล้ว กลัวโบกกลับไม่ได้ด้วย รออยู่แค่อึดใจเดียว มีรถจะไปหล่มสักผ่านมาพอดี พอบอกจะไปภูทับเบิกพี่เค้าก็บอกขึ้นโลดดด บทจะง่ายก็ง่ายแบบนี้เลยแฮะ ^^ แล้วรถพี่เค้าอย่างเท่  ฟีลเหมือนได้ผจญภัยไปกับรถโจรสลัดแบบนั้น 55555+

… วิวข้างทางคือสวยมาก ช่วงหน้าฝนมันก็จะเขียวชอุ่มชุ่มฉ่ำดี แต่ถ่ายรูปไม่ค่อยทัน พี่เค้าฟาสมาก ผมเผิมกระจุยกระจาย

… พอมาถึงสี่แยกพี่เค้าก็จอดให้เราลงตรงนี้ พี่เค้าจะไปทางขวา ส่วนเราต้องไปทางซ้าย บ๊ายบายยย ขอบคุณมากนะคะ ^^

… ระหว่างที่เรากำลังเดินเพื่อจะหาจุดยืนโบกรถต่อนั้น ก็มีพี่ผู้หญิงคนนึงขับรถมอร์เตอร์ไซด์ผ่านมาจอดถามว่าจะไปไหนกัน ก็เลยบอกว่าจะโบกรถขึ้นภูทับเบิก พี่เค้าตอบมาอย่างรวดเร็วและรุนแรงว่า “ไม่มีหร๊อกกกกกก!!!” ถามไถ่กันอยู่สักพักเหมือนพี่เค้าจะไม่เข้าใจการโบกรถเท่าไหร่ ตอนแรกก็คิดในใจว่าพี่เค้าจะหารถเหมาให้หรือเปล่านะหรือยังไง แต่คุยไปคุยมาเหมือนพี่เค้าก็ไม่ได้พูดอะไรทำนองนั้น เลยคิดว่าคงเป็นห่วงว่าเป็นผู้หญิงมาเดินอะไรอย่างนี้กัน สุดท้ายก่อนจากกันไปพี่เค้าก็บอกว่ามีอะไรก็เดินไปตรงร้านค้านะ บ้านเค้าอยู่ตรงนั้น ยังไงก็ขอบคุณมากนะคะ ^^ แต่ประโยค “ไม่มีหร๊อกกกกกก!!!” ของพี่นี่ติดหูมาจนถึงทุกวันนี้ 5555+

… ตรงนี้โบกรถกันไม่นานก็ได้รถคุณตาคุณยายบ้านวังบาล เป็นทางที่จะผ่านไปตรงทางขึ้นภูทับเบิกพอดี คุณตาคุณยายดูคุ้นชินกับนักท่องเที่ยวดี สงสัยเจอคนโบกรถบ่อย ^^

… นั่งท้ายกระบะมาอึดใจนึงก็ถึงแยกที่จะขึ้นภูทับเบิก คุณตาคุณยายส่งเราลงตรงหน้าเซเว่น เรารอโบกรถต่อกันตรงนี้ ตรงนี้เป็นอีกจุดที่ใช้เวลาในการโบกค่อนข้างนาน แถมอากาศก็เดี๋ยวครึ้ม เดี๋ยวแดด มีฝนลงเม็ดบ้างสลับๆกันไป

… มีรถชาวบ้านกับรถขนผักผ่านบ้างประปรายแต่ก็ยังไม่มีคันไหนจอดรับ มีจอดถามให้ชื่นใจอยู่คันนึง แต่ไปไม่ถึงที่พักเราเลยอดเลย ครั้งนี้เราจองที่พักไร่ริมผาไว้

… ยืนโบกกันอยู่สักพักใหญ่ ตรงนั้นมีรถโดยสารสำหรับเหมาจอดอยู่คนขับเดินลงมาเห็นพวกเราพอดีเลยเข้ามาชวนคุย คุยไปคุยมาก็มีความรู้สึกว่าพี่เค้าจะชวนเหมารถ เค้าบอกว่ารถขนผักไม่รับนักท่องเที่ยวแล้วเพราะเคยมีนักท่องเที่ยวตกรถเค้าเลยห้าม แต่ที่เราหาข้อมูลมาก็ยังมีนักท่องเที่ยวโบกรถเที่ยวกันอยู่ตลอด เราเองก็เริ่มรู้สึกไม่ชอบใจล่ะ พอดีกับมีรถคันนึงมาจอดถามพอดี เค้าบอกว่าจะไปถึงแค่บ้านน้ำเพียงดิน เลยตัดสินใจว่าไปจากตรงนี้ก่อนค่อยหารถต่อเอา

… แต่พอขึ้นรถมาได้ถึงได้รู้ว่าเป็นรถของวัดเจริญธรรมบรรพต คุณลุงคุณป้าลูกศิษย์พาหลวงปู่ออกมาทำธุระพอดี ขึ้นเขาครั้งนี้ปลอดภัยสบายใจแน่นอน ^^

ระหว่างทางมีจอดรถให้ถ่ายรูปด้วยอีก แต่เกรงใจเลยนั่งถ่ายกันบนรถแทน ^^

… จากที่ขับขึ้นมาเรื่อยๆอากาศที่ปลอดโปร่งอยู่ดีๆก็กลายเป็นหมอกมัวๆ ฝนเริ่มโปรยปราย เสมือนท้องฟ้าวิปริตแปรปรวนทันใด ซาวด์มันต้องมา

คุณลุงคุณป้าก็เริ่มเป็นห่วงว่าจะหารถต่อกันยังไงเลยพามาส่งตรงโค้งหักศอกก่อนที่จะขึ้นไปตรงจุดวัดอุณหภูมิ เส้นทางคือจากทางขึ้นมาเรื่อยๆถึงด่านให้เลี้ยวขวาขับตรงมาไม่ไกลก็จะเจอโค้งหักศอก เราลงกันตรงนี้

พอลงรถฝนเริ่มลงเม็ดหนักขึ้น ต้องวิ่งหาที่หลบฝนกันก่อน โชคดีที่มีเพิงของชาวบ้านอยู่แถวนั้นพอดี ^^

… วิ่งขึ้นเนินมาหลบฝนใจแทบขาด เนินตรงโค้งหักศอกสั้นๆแต่ชันได้ใจมาก นั่งหลบให้ฝนซาสักพักก็เดินกันต่อ หนทางยังอีกไม่ไกล แต่อยู่ตรงไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน ที่พักเต็มไปหมด 555

… สำหรับไร่ริมผา ปกติให้เช็คอิน 14.00 น. แต่ถ้าห้องเสร็จก่อนก็เข้าได้เลย ตอนเราไปถึงนี่ก็ยังไม่เสร็จ แถมยังไปกวนเวลาพี่ๆเค้าทำห้องมาทำกับข้าวให้เรากินอีก ก็มันหิวนี่นา ^^ กินมื้อแรกของวันพร้อมกับวิวที่… มืดสนิท

… ไม่รู้ว่าเพราะหิวหรืออะไรกันแน่ แต่อร่อยมากเลย รสชาติจัดจ้าน ใครไม่กินเผ็ดบอกพี่เค้าไว้สักนิดก็ดีนะ ^^ นั่งๆเลื้อยๆตรงที่กินข้าว คุยกับลุงเจ้าของสักพักนึงห้องก็เสร็จแล้ว ครั้งนี้ได้พัก A15 อยู่ติดกับที่นั่งกินข้าวเลย ในห้องพักดูดีทีเดียว มีข้าวของให้ครบเลย แต่อุปกรณ์อาบน้ำต้องเตรียมมาเองเนอะ

… ได้ห้องแล้วก็ไม่รอช้า น้องทีไปด้วยกันขอนอนสักงีบ ส่วนเราแยกออกไปสำรวจที่ทางสักหน่อยว่าแถวๆที่พักมีอะไรบ้าง อากาศบนภูนี่เปลี่ยนไปเรื่อยๆเลย เดี๋ยวก็แดด เดี๋ยวก็ฝนลงเม็ด ฟ้าเปิดบ้างปิดบ้าง ได้ลุ้นกันตลอดทั้งวัน เดินดูรอบๆแล้วเราก็กลับมานอนพักเอาแรงสักงีบเหมือนกัน ^^

… ตอนที่อยู่ในห้องนี่ก็เหมือนเป็นโรคจิตอย่างนึงนะคือต้องคอยเปิดม่านดูตลอดทุก 5 นาที ด้วยความที่อากาศเปลี่ยนตลอดเลยอยากรู้ว่าอากาศข้างนอกเป็นไงบ้าง

… ตื่นมาอีกทีก็บ่ายแก่ๆแล้ว เราเลยขออาบน้ำก่อนกลัวว่าถ้าเย็นแล้วจะหนาวเกิน อาบน้ำเสร็จออกมาก็ไม่วายเปิดม่านดู พร้อมกับร้องเรียกน้อง “แกร๊!!! มีรุ้งกินน้ำ!!!” เล่นเอาน้องสะดุ้งคว้ากล้องออกไปถ่ายแทบไม่ถูก 5555

 

… ไม่รู้ว่ารุ้งกินน้ำขึ้นมานานเท่าไหร่แล้ว แต่ระยะที่น้องออกไปถ่ายรูปไม่กี่นาที เจ้ารุ้งกินน้ำก็หายไปแล้ว รอน้องกลับมาจัดการอาบน้ำอาบท่าแล้วก็ออกไปเดินเล่นถ่ายรูปข้างนอกกัน

… ทางเราก็อยากจะเป็นสาวฮิปสเตอร์บ้าง ครีมไม่ทา หน้าไม่แต่ง นี่ก็เรียกฮิปส์เด้อออ ^^

 

… ข้ามมาทางฝั่งที่พัก ลมพัดเย็นๆ อากาศดีมากกกกกกกก ชอบแบบนี้ที่สุด

… ช่วงเย็นๆลมค่อนข้างแรง คิดว่าตัวเองตัวโตแล้วนะ แต่นี่ลมมาทียังมีเซๆเหมือนกัน

… ถ่ายรูปสนุกสนานกันอยู่นานสองนาน ฝนก็เริ่มลงเม็ดอีกรอบ เลยกลับเข้าห้องสั่งข้าวจากที่พักมานั่งกินหน้าห้อง นั่งตากลมเย็นๆ กับข้าวธรรมดาๆ แต่รสชาติอร่อย บรรยากาศก็ดี 10 10 10 ไปเลยจ้า ^^

… กินข้าวเสร็จฟ้าปิดอีกแล้วเลยเข้ามานั่งดูรูป อัพโซเชียลไปเรื่อย สัญญาณตรงที่พักโอเคอยู่นะ ด้วยความโรคจิตของตัวเองก็ไม่วายเปิดม่านดูอีก ปรากฏว่าฟ้าเปิดอีกรอบ ดาวบนฟ้ามีน้อยแต่ได้ดาวบนดินมาแทน ^^

… แต่อากาศก็แปรปรวนจริงๆ ออกไปถ่ายรูปได้ไม่กี่นาทีหมอกก็ลง ฟ้าปิดอีกรอบ สักพักนึงฝนก็ตก คราวนี้ตกๆหยุดๆตลอดทั้งคืน ก่อนนอนสักห้าทุ่มฟ้าก็ยังปิดอยู่เลย เลยนอนกันเลยดีกว่าพรุ่งนี้รอลุ้นหมอกกัน

… ตั้งนาฬิกาปลุกกันตั้งแต่ตี4 แต่ตื่นมาฟ้าก็ยังไม่เปิดเลย หลับๆตื่นๆกันสักประมาณตี5กว่าๆ น้องที่ตื่นมาอาบน้ำก่อนก็สะกิดเรียกบอกว่าฟ้าเปิดแล้ว มองออกไปเริ่มเห็นมีหมอกกำลังก่อตัวอยู่ น้องเลยออกไปถ่ายรูปก่อน ส่วนเราก็รีบอาบน้ำแล้วตามไปสมทบทีหลัง

 

… ตอนแรกนึกว่าการล่าหมอกครั้งแรกจะประสบความสำเร็จ แต่ด้วยความแปรปรวนของอากาศวันนี้โชคเลยไม่เข้าข้างหมอกสลายหายไปกับสายลม

… เราเลยพากันไปเดินถ่ายรูปที่ที่ไปมาเมื่อวาน เช้านี้ชาวบ้านตัดกะหล่ำออกเกือบหมดเตรียมนำขายแล้ว ได้เห็นวิถีชาวบ้านกับวิถีนักท่องเที่ยวไปอีกแบบ

… คนน้องก็ถ่ายรูปไป คนพี่จะขอนั่งรอด้วยท่านั่งที่ชิคๆ นึกถึงตอนเดินขึ้นแล้วขอนั่งรอตรงนี้ดีกว่า

… เสร็จจากตรงนี้เลยพากันเดินขึ้นไปตรงจุดวัดอุณหภูมิกัน ผ่านร้านกาแฟสดแล้วอดใจไม่ไหวเลยขอสักแก้ว พร้อมกับวิวด้านหลังร้านที่อลังการแบบนี้ ^^

… นั่งกันไม่นาน ก็ไปกันต่อ พอเดินขึ้นไปถึงจุดวัดอุณหภูมิถ่ายรูปได้ไม่เท่าไหร่ฟ้าก็ปิดอีกแล้ว

… บนนี้มีดอกกระเจียวด้วย กำลังออกดอกสวยเลย

… ตอนกลับลงมามีแวะซื้อขนมปังกินนิดนึง ฉ่ำเนยมาก โรยน้ำตาล ราดนมข้นหวานไปอีก มองข้ามแคลอรี่ไปก่อนเนอะ อร่อย ^^

… เดินยังไม่ถึงที่พักดี ฝนก็ลงเม็ดอีกแล้ว โอ้วววว!!มันช่างแปรปรวนเสียจริงๆ รีบวิ่งเข้าที่พัก ไปถึงแล้วก็เลยกินข้าวเช้าเลยแล้วกัน ที่ไร่ริมผามีอาหารเช้าให้นะ เลือกระหว่างข้าวต้มกับไข่กระทะ ทางเราขอเป็นข้าวต้ม อร่อยอีกแล้ว 555

… กินเสร็จก็นั่งเล่นรับลมกันตรงนั้น เช้านี้ลูกชายคุณลุงมาดูแลแขกแทนเราเลยลองถามวิธีลงภูว่าจะไปโบกตรงไหนดี ตอนแรกน้องก็แนะนำว่าให้เดินไปโบกตรงโค้งหักศอก สักพักน้องเลยถามว่าจะลงกันเลยมั้ยพ่อจะลงไปซื้อของที่หล่มสักพอดี หันออกไปมองอากาศแล้วก็ไม่ลังเล “ไปค่ะ” 5555 พร้อมกับขอตัวไปเก็บของ กวาดข้าวของทุกอย่างลงกระเป๋าภายใน 5 นาที ทีตอนขามาจัดเป็นชั่วโมงนะเรา ^^

… สัก 9 โมงเช้าเราก็ต้องบ๊ายบายภูทับเบิกกันแล้ว ระหว่างทางที่กลับลงมาบนยอดภูมีฝนปรอยๆ หมอกหนา ฟ้าปิด ชวนคุณลุงคุณป้าคุณเพลินเลยระหว่างทาง แต่พอลงมาถึงข้างล่างแล้วฟ้าแจ่มใสมาก ใช้เวลาไม่นานรถก็เทียบท่าที่บขส.หล่มสัก ขอบคุณคุณลุงคุณป้าเจ้าของไร่ริมผามากๆนะคะ (คุยเพลินจนลืมถามชื่อ T.T)

… แต่ตอนนี้ปัญหาคือเราจองรถขากลับไว้ตอน 15.30 น. เหลือเวลาอีกตั้ง 6 ชม. พยายามจะหารอบเปลี่ยนตั๋วแต่ก็เต็มหมด สถานที่ท่องเที่ยวใกล้ๆอะไรก็ไม่ได้เตรียมไว้เพราะไม่ได้คิดว่าจะลงมาเร็วขนาดนี้ สุดท้ายเสียงสวรรค์ก็มาเมื่อคนขายตั๋วบอกว่ามีรถ ป.2 ที่ยังว่างจะไปหรือเปล่า เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วก็ไปสิคะจะรออะไร สรุปแล้วได้รถ ป.2 รอบ 10.30 น.

สรุปค่าใช้จ่าย

  • ค่ารถทัวร์ขาไป เพชรประเสริฐทัวร์ ป.1 ราคา 279 บาท / คน
  • ที่พักไร่ริมผา ห้องA15 ราคา 1,000 บาท / 2คน
  • ค่ารถทัวร์ขากลับ เพชรประเสริฐทัวร์ ป.2 ราคา 217 บาท / คน
  • ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ก็จะมีค่ารถแท็กซี่ ค่าอาหาร ค่าเครื่องดื่ม ค่าทำบุญ ตามแต่บุคคล โดยส่วนตัวแล้วรวมๆทั้งหมดเราใช้ไปประมาณ 1,500 บาท (หมดเยอะเพราะกินเยอะ ^^)

… สุดท้ายนี้ต้องขอบคุณน้องร่วมทริปที่ไว้ใจ ไปเปิดประสบการณ์การโบกรถเที่ยวกับเรา ขอบคุณพี่ๆลุงป้าตายายทุกคนที่จอดรับพาไปส่งยังจุดต่างๆ ภูทับเบิกครั้งแรกและจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายแน่นอน See you again … ^^

เรียบเรียงโดย : สุภาพสตรีหมายเลขสิบเอ็ด